เคล็ดลับทำอาหารแบบคนไทยแท้ๆ

เคล็ดลับการทำอาหารแบบคนไทย
สร้างสรรค์รสชาติแบบต้นตำรับเหมือนอาหารไทยทานที่บ้าน

เคล็ดลับและเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้คุณทำอาหารได้เหมือนคนไทยจริงๆ

การทำอาหารไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่การจะเชี่ยวชาญและบรรลุรสชาติไทยแท้อาจต้องอาศัยการฝึกฝนและความรู้เพิ่มเติม ต่อไปนี้คือเคล็ดลับและเทคนิคบางประการที่สามารถช่วยให้คุณทำอาหารไทยได้ดีขึ้น

1.ใช้กะทิ

กะทิ
กะทิเข้ากันได้ดีและมีรสชาติดีมากในแกงไทย

กะทิ เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารไทยแบบดั้งเดิมหลายๆ จาน โดยเฉพาะในแกง แต่ยังใช้เป็นของเหลวพื้นฐานที่ดีในการปรุงอาหารบางประเภท เช่น ต้มข่าไก่ หรือต้มยำด้วย กะทิแตกต่างจากน้ำมะพร้าว น้ำมะพร้าวเป็นน้ำใส หวาน สดชื่นที่พบในมะพร้าวอ่อนซึ่งปกติจะเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม กะทิสกัดมาจากเนื้อมะพร้าวแก่ที่ขูดละเอียด ใช้ได้เฉพาะเนื้อมะพร้าวแก่เท่านั้น เนื่องจากคั้นเป็นน้ำนมที่มีความเข้มข้น กะทิมีความเข้มข้นมากกว่านมหรือครีมทั่วไป ไม่เติมน้ำตาล และช่วยปรับรสเผ็ด จึงมักใช้กับแกง

คนไทยมักจะเตรียมกะทิโดยเติมน้ำร้อนเล็กน้อยลงในเนื้อมะพร้าวขูด จากนั้นนวดและคั้นผ่านตะแกรงที่รองด้วยผ้ามัสลิน การคั้นครั้งแรกมักเรียกว่า "หัว" ของกะทิ (หรือ กะทิ ) ซึ่งมีลักษณะข้นเหมือนครีมและมีกลิ่นและรสชาติมากที่สุด ในการปรุงอาหารไทยแบบดั้งเดิม การคั้นกะทิครั้งแรกจะใช้ในอาหารแกงเมื่ออุ่นแกงครั้งแรกเพื่อดึงรสชาติและกลิ่นหอมออกมา เติมน้ำต่อไปและนวดและคั้นซ้ำอีกครั้ง จากนั้นคุณจะได้ "เนื้อ" ของกะทิที่อ่อนกว่าและมักใช้ในการทำให้แกงมีความเข้มข้นที่เหมาะสม

พ่อครัวแม่ครัวชาวไทยหลายคนยังคงนิยมใช้กะทิคั้นสดเพราะให้รสชาติที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากคุณทำเองไม่ได้ ให้ใช้กะทิแบบกระป๋องหรือกล่อง เพราะจะได้รสชาติที่แท้จริงกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์จากนมหรือครีม อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วคุณอาจหา "กะทิ (เนื้อ)" ได้ แต่ไม่มีแบบครีม ซึ่งก็ใช้ได้ และสามารถใช้ทำอาหารด้วยวิธีเดียวกันได้ แต่หากคุณต้องการให้ได้ผลแบบเดียวกันกับการใช้กะทิ เรามีเคล็ดลับง่ายๆ มาฝากคุณ นั่นคือ คุณสามารถใช้น้ำมันพืชเล็กน้อยผัดพริกแกงเมื่ออุ่นกับเนื้อสัตว์ จากนั้นจึงเติมกะทิเล็กน้อยเพื่อให้ทอดได้ง่ายขึ้น แล้วทำตามสูตรต่อไป

คนไทยยังใช้กะทิในขนมไทยหลายชนิด เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง บัวลอย ขนมครก ขนมตุ้ย และแม้แต่ไอศกรีม มีเทคนิคมากมายในการทำขนมด้วยกะทิ ตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งทำมาจากข้าวที่หุงด้วยกะทิและน้ำตาลแทนน้ำ แล้วเสิร์ฟพร้อมมะม่วงสุกสดและราดด้วยกะทิ บัวลอยหรือลูกชิ้นข้าวกะทิ ทำจากแป้งข้าวขาวปั้นเป็นลูกกลมเล็กๆ แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำตาลและกะทิ สำหรับขนมตุ้ยและขนมครกหรือไอศกรีม กะทิจะถูกเติมลงไปในส่วนผสม เช่น แป้งข้าว น้ำตาล หรือกล้วยก่อนนำไปปรุง

2. หมักเนื้อ

น้ำปลา
น้ำปลาทำให้การหมักหรือการทำน้ำสลัดมีความซับซ้อนมากขึ้น

น้ำปลาเป็นเครื่องปรุงรสชนิดน้ำที่ทำจากปลาหรือเคยที่เคลือบเกลือและหมักเป็นเวลาหลายเดือน หลายคนอาจคิดว่าน้ำปลามีกลิ่นคาว แต่จริงๆ แล้วน้ำปลาคุณภาพดีนั้นไม่มีกลิ่นคาวเลย แต่สามารถเพิ่มรสชาติที่เข้มข้นและอร่อยให้กับอาหารได้

น้ำปลาเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารไทยหลายๆ จาน และคนไทยก็ใช้น้ำปลาในการปรุงอาหารหลายอย่าง เช่น ใช้เป็นเครื่องปรุงรสระหว่างหรือหลังการปรุงอาหาร เป็นน้ำจิ้ม หรือหมักเนื้อสัตว์ โดยเชื่อว่าน้ำปลาจะทำให้เนื้อสัตว์นุ่มขึ้นและมีรสชาติที่ซับซ้อนและกลมกล่อมมากขึ้น

3.ใช้กระเทียมจำนวนมาก

กระเทียมไทย
กระเทียมเป็นวัตถุดิบที่นิยมนำมาใช้ในอาหารไทยหลายชนิด

กระเทียมเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่นำมาใช้ในอาหารไทยหลายชนิด รวมถึงในยาแผนโบราณ กระเทียมช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย นอกจากนี้ กระเทียมยังช่วยเพิ่มรสชาติ กลิ่นหอม และรสชาติให้กับอาหารอีกด้วย หากคุณสังเกตหรือดูสูตรอาหารไทย คุณจะพบว่าอาหารหลายจานมีส่วนผสมของกระเทียม อาหารไทยผัดทั้งหมดเริ่มต้นด้วยกระเทียม ส่วนซุปและแกงก็ใช้กระเทียมเป็นส่วนประกอบ คนไทยยังใช้กระเทียมเป็นส่วนผสมในการหมักเนื้อสัตว์อีกด้วย นอกจากนี้ยังใช้กระเทียมเป็นส่วนผสมในการทำน้ำจิ้มและน้ำพริกหลายประเภท ดังนั้นเคล็ดลับจึงอยู่ที่กลีบกระเทียม!

เคล็ดลับง่ายๆ ในการปรุงอาหารไทยด้วยกระเทียม:

  • สำหรับเมนูผัด: เริ่มผัดโดยนำกระเทียมไปผัดในน้ำมันจนเป็นสีน้ำตาลทองก่อนจึงใส่เนื้อสัตว์และส่วนผสมลงไป
  • หมักเนื้อสัตว์ด้วยน้ำปลา กระเทียม และพริกไทยป่นก่อนปรุงอาหาร (อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีถึงหลายวัน)
  • คนไทยชอบใส่กระเทียมเจียวในก๋วยเตี๋ยวและซุปอื่นๆ กระเทียมเจียวกรอบมักจะเสิร์ฟคู่กับเนื้อสัตว์ทอด เช่น ไก่ หมู หรืออาหารทะเล
  • น้ำจิ้มไทยแบบง่ายๆ และรวดเร็ว (ที่มีรสชาติซับซ้อนกว่า) – ผสมน้ำปลา พริก น้ำมะนาว และกระเทียม

4. ปรุงอาหารด้วยรากและเมล็ดผักชี

รากผักชี
ผักชีเป็นผักชีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารไทย เนื่องมาจากมีกลิ่นหอมส้มที่สดชื่น

คุณมักจะเห็นใบผักชีในอาหารไทยหลายๆ จาน แต่คนไทยไม่เพียงแต่ใช้ใบผักชีในการตกแต่งอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น แต่ยังใช้ส่วนอื่นๆ ของผักชี เช่น รากและเมล็ดในการปรุงอาหารอีกด้วย รากผักชีใช้กันอย่างแพร่หลายในซุป แกง สตูว์ และเป็นส่วนผสมสำหรับหมัก ในขณะที่เมล็ดซึ่งให้รสชาติแบบดินและถั่วและกลิ่นหอมเฉพาะตัว มักใช้ในการหมักเนื้อแดง ชาวบ้านมักจะบดหรือตำรากและเมล็ดในครกก่อนใช้เพื่อให้รสชาติและกลิ่นหอมกระจาย หรือทำเป็นเครื่องปรุง คุณสามารถใช้รากและเมล็ดแยกกันหรือใช้ร่วมกันก็ได้

5. เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างพริกแกงแต่ละชนิด

น้ำพริกแกงไทย
แกงไทยมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ คือ แกงแดง แกงเขียว และแกงเหลือง

น้ำพริกแกงเป็นส่วนผสมหลักของอาหารไทยหลายชนิด น้ำพริกแกงเป็นส่วนผสมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องเทศหลายชนิด แม้ว่าน้ำพริกแกงส่วนใหญ่จะใช้สูตรเดียวกัน แต่จะใช้สมุนไพรและเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม เช่น ยี่หร่า พริก ข่า ตะไคร้ หอมแดง และกระเทียม แต่สามารถเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ เช่น ใบมะกรูด เปลือกมะกรูด รากผักชี หรือกะปิ เพื่อทำให้น้ำพริกแกงแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป

น้ำพริกแกงไทย โดยทั่วไปจะมี 3 สี คือ สีแดง สีเขียว และสีเหลือง ขึ้นอยู่กับส่วนผสมหลัก ซึ่งสีเหล่านี้ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าน้ำพริกแกงเหล่านี้มีรสชาติอย่างไร และสามารถใช้ปรุงอาหารแกงประเภทใดได้บ้าง หากคุณใช้เวลาเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างและวิธีใช้น้ำพริกแกงอย่างถูกต้อง การทำอาหารไทยของคุณจะเป็นประโยชน์อย่างมาก คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำพริกแกงไทย ได้ในบทความ "ทุกอย่างเกี่ยวกับน้ำพริกแกงไทย" ของเรา